หมวดที่ 1 หมวดทั่วไป หมวดที่ 2 วัตถุที่ประสงค์
หมวดที่ 3 สมาชิกและสมาชิกภาพ หมวดที่ 4 ค่าลงทะเบียนและค่าบำรุง
หมวดที่ 5 สิทธิและหน้าที่ของสมาชิก หมวดที่ 6 คณะกรรมการของสมาคม
หมวดที่ 7 จรรยาบรรณในการประกอบธุรกิจ หมวดที่ 8 การลงโทษสมาชิก
ข้อ 38. ให้คณะกรรมการจัดทำงบดุลและบัญชีรายได้รายจ่ายปีละ 1 ครั้ง แล้วส่งให้ผู้สอบบัญชีตรวจสอบภายในเวลา
ไม่เกินเดือนมกราคมของปีถัดไป โดยให้ถือเอาวันที่ 31 ธันวาคมของทุกปีเป็นวันสิ้นรอบปีการบัญชีของสมาคม
ข้อ 39. ให้คณะกรรมการจัดทำรายงานแสดงผลการดำเนินกิจการของสมาคมรอบปีที่ผ่านมา เพื่อเสนอต่อที่ประชุมใหญ่สามัญ
ข้อ 40. ผู้สอบบัญชีซึ่งที่ประชุมใหญ่เลือกตั้งมีอำนาจเข้าตรวจสอบสมุดบัญชี และบรรดาเอกสารเกี่ยวกับการเงินของสมาคม
และมีสิทธิสอบถามกรรมการ ตลอดจนเจ้าหน้าที่ของสมาคมทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบัญชีและเอกสารดังกล่าว
ในการนี้กรรมการและเจ้าหน้าที่จะต้องช่วยเหลือและให้ความสะดวกทุกประการเพื่อตรวจสอบ เช่นว่านั้น
ข้อ 41. สมุดบัญชีและเอกสารการเงินของสมาคมจะต้องเก็บรักษาไว้ ณ สำนักงานของสมาคม และให้อยู่ในความดูแลรับผิดชอบ
ของเหรัญญิกของสมาคมหรือผู้ที่คณะกรรมการได้มอบหมาย
ข้อ 42. เงินสดของสมาคมจะต้องนำฝากไว้ ณ ธนาคารพาณิชย์ สถาบันการเงิน หรือการลงทุน ซึ่งตั้งอยู่ในเขตท้อง
ที่จังหวัด ที่สมาคมตั้งอยู่ในนามของสมาคม โดยความเห็นชอบของที่ประชุมคณะกรรมการ การบริหารเงินสด
การฝากและการถอนเงินของสมาคมให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการกำหนด
กรณีคณะกรรมการยังไม่ได้กำหนดและให้ความเห็นชอบการเงินและการบัญชีของสมาคม ให้นายกสมาคม
อุปนายก เหรัญญิก หรือเลขาธิการสองในสี่คนลงนามร่วมกันในการสั่งจ่ายเงินเกี่ยวกับกิจการสมาคม
ข้อ 30. ให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปีของสมาคมภายในเก้าสิบวันนับแต่วันสิ้นงวดปีการบัญชีของสมาคม
คณะกรรมการจะเรียกประชุมวิสามัญเมื่อใดก็ได้ตามที่เห็นสมควร หรือเมื่อมีสมาชิกไม่น้อยกว่าสิบราย
ร้องขอเป็นลายลักษณ์อักษรให้เรียกประชุม โดยอาจจัดประชุมผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ตามเงื่อนไข ขั้นตอน และวิธีการที่กฏหมายกำหนด
ข้อ 31. ให้ส่งหนังสือบอกกล่าวนัดประชุมใหญ่สามัญและวิสามัญไปยังสมาชิกให้ทราบล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันก่อน
วันประชุม พร้อมกับแจ้งให้ทราบว่าเรียกประชุมเพื่อการใด
ข้อ 32. ในวันประชุม ต้องมีสมาชิกมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจึงจะครบเป็นองค์ประชุม
ในกรณีการประชุมวิสามัญเพราะเหตุที่มีสมาชิกเป็นผู้ร้องขอ จะต้องมีสมาชิกมาประชุมเป็นจำนวนไม่น้อย
กว่าสองในสามของจำนวนสมาชิกทั้งหมดจึงจะครบเป็นองค์ประชุม
ข้อ 33. การประชุมใหญ่ที่ได้นัดเรียกประชุม ณ วันและเวลาใด หากล่วงพ้นกำหนดนัดแล้วหนึ่งชั่วโมง ยังมีสมาชิกมา
ไม่ครบองค์ประชุม ถ้าการประชุมใหญ่คราวนั้นได้เรียกนัดเพราะสมาชิกร้องขอ ให้ยกเลิกการประชุมโดย
ไม่ต้องเรียกประชุมตามที่ร้องขออีก ถ้ามิใช่เพราะสมาชิกร้องขอ ให้เลื่อนการประชุมคราวนั้นไป และให้ทำการ
บอกกล่าวนัดประชุมอีกครั้งหนึ่ง ภายในกำหนดเวลาสิบสี่วันนับแต่วันนัดประชุมใหญ่คราวแรก และในการประชุมคราวหลังนี้
มีสมาชิกมาประชุมมากน้อยเพียงใดก็ให้ถือเป็นองค์ประชุม
ข้อ 34. ให้นายกสมาคมเป็นประธานในที่ประชุมใหญ่
ข้อ 35. กิจการที่พึงกระทำในที่ประชุมใหญ่สามัญ ได้แก่
35.1 รับรองรายงานการประชุมใหญ่คราวก่อน
35.2 คณะกรรมการรายงานผลการดำเนินงานในรอบปีที่ผ่านมา
35.3 พิจารณาอนุมัติงบดุล และบัญชีรายได้รายจ่ายของสมาคม
35.4 พิจารณาเลือกตั้งนายกสมาคมและกรรมการของสมาคม (ถ้ามี)
35.5 พิจารณาแต่งตั้งผู้สอบบัญชีของสมาคม และกำหนดค่าตอบแทน
35.6 พิจารณาเรื่องอื่นๆ (ถ้ามี)
ข้อ 36. ให้ที่ประชุมใหญ่วิสามัญปรึกษากิจการได้เฉพาะหัวข้อที่ระบุไว้ในหนังสือบอกกล่าวนัดประชุมเท่านั้น จะปรึกษา
กิจการอื่นอันใดมิได้
ข้อ 37. เว้นแต่มีการกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น การลงมติในที่ประชุมใหญ่ให้ถือคะแนนเสียงข้างมากของสมาชิกซึ่งมาประชุม
และออกเสียงลงคะแนน โดยให้ถือว่าสมาชิกแต่ละรายมีคะแนนเสียงเป็นหนึ่งเสียง ไม่ว่าจะเป็นการลงคะแนน
โดยวิธีลับหรือวิธีเปิดเผย ถ้าคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธานในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 1. สมาคมนี้มีชื่อว่า "สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย"
เรียกชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "แอสโซซิเอชั่น ออฟ ไทย เซคคิวริตี้ คอมพานีส์"
เขียนชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า "Association of Thai Securities Companies"
คำว่า "สมาคม" ต่อไปในข้อบังคับนี้ให้หมายถึง "สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย"
คำว่า "คณะกรรมการ" ต่อไปในข้อบังคับนี้ให้หมายถึง "คณะกรรมการของสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย"
ข้อ 2. สำนักงานของสมาคมนี้ตั้งอยู่ ณ อาคารชุดเลครัชดาออฟฟิศคอมเพล็กซ์ 2 ชั้น 5
เลขที่ 195/6 ถนนรัชดาภิเษก แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ 10110
ข้อ 3. ตราของสมาคมเป็นเครื่องหมาย
ข้อ 12. สมาชิกต้องชำระค่าลงทะเบียนสมาชิกแรกเข้าและค่าบำรุงรายปี ตามที่ประชุมใหญ่ลงมติกำหนดจำนวนเงินในการเรียกเก็บจากสมาชิก
โดยชำระภายในเดือนมกราคมของทุกปี
และไม่ถือเป็นกรรมการตามข้อ 15.1 ที่ต้องจดทะเบียนตามข้อ 21 แต่ทุกคราวที่มีการเปลี่ยนแปลงตัวกรรมการสมทบ
ให้มีหนังสือแจ้งเปลี่ยนแปลงกรรมการนั้น ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์เพื่อทราบโดยไม่ชักช้า
มิให้นำความในข้อ 16 ข้อ 17 ข้อ 18 ข้อ 19 ข้อ 20 ข้อ 22 และข้อ 23 มาใช้บังคับกับกรรมการสมทบ